3 กรกฎาคม 2566 ณ ห้อง SD 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) พร้อมด้วยคณะวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. จัดเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรับมือโรคโควิด-19 สู่การเตรียมความพร้อมเพื่ออนาคต ร่วมแถลงความสำเร็จของผลการวิจัยและพัฒนาชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ได้แก่ PETE (พีท) เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ และ HI PETE (ไฮ พีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ที่เริ่มต้นพัฒนาจากประเด็นปัญหาการขาดแคลนเครื่องมือแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และตอบโจทย์การใช้งาน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบันได้ขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ และได้เข้าไปสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในภารกิจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั่วประเทศแล้วกว่า 120 แห่ง ซึ่งปัจจุบันยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายผลการนำไปใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เข้าถึงพื้นที่พิเศษอีกด้วย
โดยมี นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข คุณวราภรณ์ สุชัยชิต ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและดำเนินงานวิจัยพัฒนา และ ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ร่วมแถลงบทบาทและการมีส่วนร่วมผลักดันชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้ประสบความสำเร็จ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านเครื่องมือแพทย์เพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ที่นอกจากจะมีความปลอดภัย และประสิทธิภาพตามมาตรฐานระดับสากลแล้ว ยังมีราคาจำหน่ายที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากต่างประเทศ 2-3 เท่า
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระบาดระลอกแรกในประเทศไทยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 คณะวิจัยจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้เข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้รับความร่วมมือจากบุคลากรทางการแพทย์หลายหน่วยงาน อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) สวทช. ได้สนับสนุนงบประมาณเบื้องต้น เพื่อเร่งพัฒนานวัตกรรม PETE (พีท) เปลความดันลบสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด และอำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากเปล นำใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งในสถานพยาบาล หรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล
จากนั้นจึงได้ทุนวิจัยและพัฒนาจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ในฐานะหน่วยสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม ทำการทดสอบชุดอุปกรณ์ด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ จนกระทั่งถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่บริษัท สุพรีร่า อินโนเวชัน จำกัด และได้ขึ้นทะเบียนเป็นเครื่องมือแพทย์ กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หลังจากนั้น เอ็มเทคได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) บริษัท มติชน จำกัด บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รวมถึงประชาชนที่ร่วมบริจาคงบประมาณในการพัฒนา เปล PETE ซึ่งได้ส่งมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้ต่าง ๆ รวมถึงปัจจุบันแล้วกว่า 120 ชุดทั่วประเทศ และปัจจุบัน เอ็มเทคได้รับทุนวิจัยจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) เพื่อขยายผลนวัตกรรมเปล PETE สู่ตลาดในและต่างประเทศ
ดร.จุลเทพ กล่าวอีกว่า ในส่วนของ HI PETE (ไฮพีท) เต็นท์ความดันลบสำหรับแยกผู้ป่วย (Patient Isolation Chamber for Home Isolation) นั้น เอ็มเทคได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) โดยทีมวิจัยได้ต่อยอดองค์ความรู้จากการพัฒนาเปล PETE เป็นเต็นท์ความดันลบที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้กับผู้ป่วยสีเขียวที่จำเป็นต้องทำ Home isolation ที่บ้าน แต่ไม่มีห้องแยกในที่อยู่อาศัย หรือใช้สำหรับโรงพยาบาลสนาม เพื่อแยกหรือกักผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อทางเดินหายใจ หรือทำการรักษา เช่น พ่นยา ซึ่งก็ได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์จนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีน้ำหนักเบาเคลื่อนย้ายง่าย สามารถย้ายไปติดตั้งเป็นห้องรักษาพยาบาลที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อเป็นการชั่วคราวได้ ลดระยะเวลา ลดภาระงาน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากร ตลอดจนชิ้นงานทำความสะอาดได้ง่าย สามารถปรับเลือกขนาดเต็นท์ได้เหมาะสมตามขนาดพื้นที่ ซึ่งในการส่งมอบแก่หน่วยงานผู้ใช้แต่ละครั้ง เอ็มเทคได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท อีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในการสนับสนุนเตียงสนามและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อใช้งานร่วมกับเต็นท์ความดันลบ HI PETE อีกด้วย
นายแพทย์นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมครั้งนี้ กล่าวว่า เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอย่างโรคโควิด-19 หรือโรคอุบัติใหม่ โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดที่จำเป็นต้องมีห้องแยกผู้ป่วย (Isolation Room) และอุปกรณ์เคลื่อนย้ายผู้ป่วย (Isolation chamber) เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่ง สวรส. ได้สนับสนุนให้ทีมวิจัย เอ็มเทค สวทช. ผลิตและพัฒนาชุดนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแบบความดันลบ ที่นอกจากจะมีความถูกต้องเหมาะสมด้านวิศวกรรมและวิชาการแล้ว ชุดนวัตกรรม เปลพีท (PETE) และเต็นท์ไฮพีท (HI PETE) ยังพัฒนาเพื่อใช้สำหรับเป็นห้องฉุกเฉินที่ติดตั้งได้ง่าย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน จัดเก็บได้รวดเร็ว ซึ่งมีการพัฒนาด้านการออกแบบให้เหมาะกับบริบทการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น รวมทั้งการนำเข้าสู่กระบวนการทดสอบจนได้มาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพการกรองเชื้อ และความปลอดภัยทางไฟฟ้าตามมาตรฐานสากล ซึ่งนวัตกรรมวิจัยดังกล่าว ยังสามารถขยายผลการใช้ประโยชน์ไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตามสถานการณ์การระบาดได้อีกด้วย
นายแพทย์นพพร กล่าวอีกว่า การสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของ สวรส. บนเป้าหมายของการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงและเกิดการขยายผลสู่การพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวม สวรส. จึงสนับสนุนทุนวิจัยในเรื่องนี้ เพื่อให้เครือข่ายนักวิจัยสามารถพัฒนาอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผลิตใช้เองในประเทศให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเคียงกับผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการนำ
องค์ความรู้ที่มีอยู่มาทำให้เกิดการต่อยอดการใช้ประโยชน์ ซึ่งในแง่ของการรับมือความรุนแรงและผลกระทบของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำนั้น นวัตกรรมนี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพาการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศได้เป็นอย่างมาก
คุณวราภรณ์ สุชัยชิต ผู้อำนวยการภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมาตั้งแต่ปี 2563 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในเชิงวิชาการ การวิจัย และนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ โดยในส่วนของวิชาการ วช. ได้สนับสนุนการศึกษาวิจัยลักษณะทางพันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ในประเทศไทย และสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยโครงการประเมินผลกระทบของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจและสังคม และส่วนของนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์นั้น วช. ได้ในการสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยจากเอ็มเทค สวทช. ในปี 2564 ให้ดำเนินโครงการการขยายผลการใช้งานต้นแบบเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ โดยได้ทำการส่งมอบให้แก่หน่วยงานผู้ใช้ 16 แห่ง อีกทั้งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย โดยประเมินผลกระทบต่าง ๆ ได้แก่ การลดต้นทุนของหน่วยงาน ด้านงบประมาณในการจัดหา/นำเข้า อุปกรณ์การแพทย์ราคาแพงและมีความจำเป็นในสถานการณ์โรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ อีกทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการปฏิบัติภารกิจรับส่งผู้ป่วย ที่มีเครือข่ายรถพยาบาลจากทีมอาสากู้ภัย ที่รอรับส่งผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อจากบ้านไปส่งโรงพยาบาล รวมไปถึงการลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บของผู้ป่วยจากการเคลื่อนย้าย โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอื่นร่วมด้วย เช่น ท่อเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ เป็นต้น และจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาลหลาย ๆ จุด และจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้า-ออก เปลหลายรอบ
ดร.จิตติ์พร ธรรมจินดา ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) (ศลช.) หรือ TCELS กล่าวว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของ ศลช. คือการขับเคลื่อนโครงการสำคัญ (Flagships) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันด้านการแพทย์และสุขภาพ โดยเน้นการส่งเสริมนวัตกรรมด้านการแพทย์และสุขภาพช่วงปลายน้ำ ได้แก่ วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่เป็นนวัตกรรมระดับสูงและมูลค่าสูง ให้เป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน โดยในปี 2566 ถึง 2568 ศลช. จะได้ให้การสนับสนุนทุนวิจัยแก่คณะวิจัยจากเอ็มเทค ดำเนินโครงการร่วมกับบริษัทผู้ผลิตในประเทศในการขยายผลนวัตกรรมเปล PETE สู่ตลาดในและต่างประเทศ โดยชูประเด็นการผลิตเครื่องมือแพทย์มูลค่าสูงเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำอุบัติใหม่ในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาคณะวิจัยได้ดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน อาทิ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองบินตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันเวชศาสตร์การบินกองทัพอากาศ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ พร้อมจัดทำรายงานทางคลินิก (Clinical Safety and Performance Study) และจัดทำผลการเก็บข้อมูลการติดตามเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบ หลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดในประเทศ ตาม พ.ร.บ. เครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 ที่ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องด้วยการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานจริง จากสถานพยาบาลต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน มูลนิธิกู้ภัย ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดเตรียมข้อมูลเพื่อขยายผลผลิตภัณฑ์เปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบเข้าสู่ตลาดต่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ การจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) สำหรับเครื่องมือแพทย์อีกด้วย
ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ หัวหน้าโครงการ และผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการออกแบบเชิงวิศวกรรมและการคำนวณ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชุดผลงานนวัตกรรมสำหรับแยกและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพื่อรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ ประกอบด้วยเปล PETE ที่ปัจจุบันพัฒนามาได้ถึงรุ่นที่ 9 แล้ว และเต็นท์ HI PETE โดยเฉพาะรุ่น Balloon (บอลลูน) ที่ได้นำเสนอในครั้งนี้ มีจุดเด่นเรื่อง “ติดตั้งง่าย ปลอดภัย และได้มาตรฐาน” จึงสามารถรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที ผลสำเร็จของผลงานนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่ผู้ใช้งานที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้ข้อมูลปัญหาที่ชัดเจน และร่วมให้ความเห็นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาทิ วชิรพยาบาล โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ โรงพยาบาลวิภาวดี แหล่งทุนวิจัยต่าง ๆ ได้แก่ สกสว. สวรส. วช. ศลช. สวทช. รวมถึงภาคเอกชน ได้แก่ เครือมติชน บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัทอีสเทิร์นโพลิเมอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัทสุพรีร่า อินโนเวชัน และประชาชนที่ให้การบริจาค ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมให้มีความถูกต้องทางวิศวกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนให้ต่อยอดขยายผลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการได้รับคำแนะนำด้านการทดสอบมาตรฐานจากกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) มาตั้งแต่ต้น ทำให้สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลดีต่อบุคลากรทางการแพทย์ได้ใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมั่นได้ว่ามีมาตรฐานทั้งด้านประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ให้กับบุคลากรผู้อยู่หน้างานได้อย่างมาก อย่างไรก็ดีทั้งเปลและเต็นท์ความดันลบนี้ จะลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของทีมเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำหัตถการ อำนวยความสะดวกในการนำผู้ป่วยเข้าเครื่องเอกซเรย์-ซีที สแกนปอด หรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ เพราะไม่ต้องนำผู้ป่วยออกจากเปล ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ชุดผลงานนวัตกรรมก็สามารถใช้รองรับโรคทางเดินหายใจอื่น ๆ อาทิ โรคไข้หวัดใหญ่ วัณโรค ได้ หรือหากวันใดที่เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อื่น ๆ ขึ้นประเทศไทยก็จะพร้อมรับมือ โดยไม่ต้องตื่นตะหนกและสามารถลดการนำเข้าเครื่องมือแพทย์จากต่างประเทศและช่วยให้พึ่งพาระบบสาธารณสุขในประเทศได้อย่างแท้จริง